ประเทศไทยยังคงเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และทางรัฐบาลได้มีนำเข้าวัคซีน เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนหลากหลายรูปแบบ เพื่อรับมือกับความรุนแรงและช่วยบรรเทาความกังวล หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถรับมือกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่าง mRNA กำลังถูกพูดถึงกันอย่างมาก ทำให้ใครหลายคนเกิดข้อสงสัยว่า มีความแตกต่างจากวัคซีนโควิดประเภทอื่นหรือไม่ ซึ่งเราจะพาไปทำความเข้าใจรายละเอียดในข้อนี้กันให้มากขึ้น
mRNA คือ อะไร และมีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างไร
mRNA ย่อมาจากคำว่า Messenger Ribonucleic Acid จัดเป็นสารพันธุกรรมในเซลล์ร่างกายมนุษย์ ที่มีหน้าที่สั่งการให้เซลล์ผลิตโปรตีนตามรหัสคำสั่ง
การคิดค้นและผลิตวัคซีนเพื่อเอาชนะไวรัสโควิด-19 จำเป็นที่จะต้องอาศัยขั้นตอนที่ซับซ้อน เพื่อให้ได้มาซึ่งวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก่อนทำการแจกจ่ายให้แก่ประชากร หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตที่ได้รับการยอมรับจากหลายหน่วยงานทั่วโลก นั่นก็คือ mRNA ซึ่งเป็นวัคซีนประเภทที่ประกอบด้วยสารพันธุกรรม เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีนเสมือนที่มีความใกล้เคียงกับไวรัสโควิด-19 จากนั้นร่างกายจะมีการผลิตแอนติเจน และแอนติเจนก็จะผลิตแอนติบอดี เพื่อกำจัดโปรตีนดังกล่าวออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นรูปแบบการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันก่อนได้รับไวรัสจริง โดยอาศัยการจดจำหรือจำลอง เพื่อให้ร่างกายรู้ถึงการมีอยู่ของโปรตีนแปลกปลอม

ขอบคุณรูปภาพจาก vtat
mRNA ต่างจากการผลิตวัคซีนรูปแบบอื่นอย่างไร
วัคซีนป้องกัน โควิด-19 ที่ได้มีการแจกจ่ายให้กับประชากรทั่วโลก มีการผลิตที่คล้ายคลึงกันไม่ว่าจะเป็น Novavax, Oxford-AstraZeneca, Sputnik V, Sinopharm และ Sinovac ใช้รูปแบบการผลิตวัคซีนจากไวรัสที่อ่อนแอหรือตายแล้ว ฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งต่างไปจากวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีอย่าง mRNA เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ใช้การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีนที่มีลักษณะคล้ายโปรตีนไวรัสโควิด-19 ขึ้นมาแทนที่ ก่อนที่จะมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และสร้างแอนติบอดีเพื่อกำจัดโปรตีนดังกล่าว ซึ่งวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mrna vaccine ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ Moderna และ Pfizer-BioNTech
ข้อดีและข้อจำกัดของวัคซีนชนิด mRNA
- ข้อดี ให้ผลในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ การันตีด้วยงานวิจัยจากมูลนิธิการทำงานของประชากรและสุขภาพของประชากรในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ว่า มีความปลอดภัยสูง เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงใด ๆ
- ข้อจำกัด แม้ว่าการผลิตวัคซีนด้วยการใช้เทคโนโลยี mRNA จะมีต้นทุนในการผลิตต่ำ และขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีผลข้างเคียง เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในระยะยาว อีกทั้งในกระบวนการเก็บรักษา จะต้องใช้วิธีจำเพาะเพื่อคงประสิทธิภาพของวัคซีน
ก่อนฉีดวัคซีนจาก mRNA เตรียมตัวอย่างไร
ขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็น วัคซีนที่ผลิตจากเทคโนโลยี สล็อตหรือวิธีการอื่นเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานที่มากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้
-
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การเตรียมตัว 2-3 วัน ก่อนที่จะฉีดวัคซีน ถือเป็นช่วงเวลา ที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากตั้งแต่
- การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเครียด และลดการหดตัวของหลอดเลือดในร่างกาย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วง 12 ชั่วโมง ก่อนฉีดวัคซีน เพราะจะมีส่วนช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว และสามารถขับของเสียต่าง ๆ ในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 3-5 แก้ว
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและงดการออกกำลังกาย เพราะจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีผลต่อการหดและขยายตัวของหลอดเลือด
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงขึ้นในกรณีที่มีแอลกอฮอล์ภายในร่างกาย อีกทั้งยังยากต่อการตรวจสอบสาเหตุที่แน่ชัดว่า ผลข้างเคียงดังกล่าว เกิดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือผลของวัคซีนโควิด-19
- งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อย่างน้อย 1 วันก่อนฉีดวัคซีน โดยเฉพาะชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะจะมีผลต่อการหดตัวของหลอดเลือด และอาจเพิ่มผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้ปวดและยาลดไข้ เนื่องจากการทำงานของยากลุ่มนี้จะมีส่วนทำให้ผลของการฉีดวัคซีนบิดเบือนไป เพราะหากพบว่า มีอาการป่วยหลังจากได้รับวัคซีน ก็อาจทำให้เกิดความสับสนและมึนงงได้ว่า อาการดังกล่าวเป็นผลข้างเคียงมาจากการแพ้วัคซีน หรืออาการป่วยที่มีอยู่ก่อนแล้ว
- หลีกเลี่ยงยากลุ่มที่ทำให้หลอดเลือดแดงหดตัว 1-2 วันก่อนฉีดวัคซีน เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ปวดไมเกรน ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม SSRI หรือ SNRI แต่หากจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน โดยเฉพาะคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เพราะอาจได้รับผลข้างเคียงจากวัคซีนที่รุนแรงกว่าเดิม และควรหลีกเลี่ยงการใช้เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจาก วัคซีนโควิด-19
-
ข้อควรระวังเพิ่มเติมก่อนฉีดวัคซีน
- ในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวและมีการรับประทานยา จำเป็นจะต้องมีการปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน เพื่อรับคำแนะนำและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง
- หากมีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ก่อนที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 จะต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปฏิกิริยาที่อาจรบกวนต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
ด้วยเทคโนโลยีที่นำสมัย กับการผลิตวัคซีนที่มีการคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่า จะสามารถรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ในระยะเวลาไม่นาน โดยเฉพาะเทคโนโลยี mRNA ถือเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองอย่างมาก